ประวัติ ของ ฮิโตชิ ซากิโมโตะ

วัยหนุ่ม

ฮิโตชิ ซากิโมโตะ เกิดที่โตเกียว ถูกบังคับเรียนดนตรีตั้งแต่ประถม แต่โดยส่วนตัวเขาสนใจเกี่ยวกับเกมเป็นอย่างมาก ในช่วงที่เขาเรียนดนตรีนั้นเขาสนใจจำพวกวงร็อก วงเครื่องลมทองเหลือง และออร์แกนไฟฟ้า แต่ว่าก็เรียนเปียโนเป็นเครื่องมือหลัก[1]เขาได้ร่วมมือกับเพื่อน ๆ ของเขาในการทำเกมตั้งแต่สมัยอยู่มัธยม[2] และในช่วงมัธยมปลายเขาได้เขียนบทความในนิตยสาร Oh!FM โดยส่วนตัวเขาได้บอกว่าเขาเป็นเซียนเกมแต่ว่าเป็นนักดนตรีที่ยังอ่อนหัด[1]

เขาเริ่มแต่งเพลงสำหรับเกมเมื่ออายุสิบหกปี และร่วมกันเขียนเกมกับเพื่อน ๆ [3] ซึ่งเกมแรก ๆ นั้นเขาได้ใช้เครื่องมือทุกชิ้นเท่าที่หามาได้แบบมั่ว ๆ [4] เขาได้ผลักดันตัวเองและรับงานทำเกมอย่างมืออาชีพเมื่อปี 1988 เขากับเพื่อนร่วมงาน มาซาฮารุ อิวาตะ ได้ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานประกอบเกมหลาย ๆ เกมด้วยกัน ซึ่งเกมแรกที่นับว่าเป็นงานอย่างจริงจังของเขาคือเกมแนวยิง Revolter ซึ่งวางจำหนายโดยบริษัท ASCGroup for the NEC PC-8801 (คอมตั้งโต๊ะ) ซากิโมโตะได้ทำเสียงจำพวกซินธิไซเซอร์และ ดนตรีแนวบรรยากาศอวกาศเป็นหลักในช่วงแรก ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของดนตรีประกอบเกมของญี่ปุ่นในยุค 1990 ยังไงก็ตามเกม Revolter ก็ประสบผลสำเร็จอย่างยิ่ง และเขาก็ได้ทำเสียงประกอบเกมอีกหลายเกมและผลงานเสียงประกอบเกมของเขาก็ได้เข้าไปอยู่ในอุตสาหกรรมดนตรีอย่างเต็มรูปแบบ[3][5]

วัยทำงาน

ผมเชื่อว่าเสียงนั้นมันครอบคลุมความรู้สึกของเกมจริง ๆ นะ เช่นนั้นเองผมจึงอยากทำงานแบบนี้

คำพูดของฮิโตชิ ซากิโมโตะ[6]

หลังจากเกม Revolter ไปแล้ว ผลงานของซากิโมโตะได้เข้าไปอยู่ในอุตสาหกรรมดนตรีอื่น ๆ อีกมากมาย ในยุคคอมพิวเตอร์-8801 ได้มีเกมมาอีกเช่น Starship Rendezvous และ Gauntlet ซึ่งเป็นเกมที่ได้รับความนิยมพอ ๆ กับเกม Stone of Deigan ในปี 1989 และ The Witch of Barbatus ในปี 1990 [1]ช่วงปี 1990 และ 1992 เขาได้ทำเสียงเกมกว่า 24 ชิ้นงาน ช่วงนี้เขาได้สมัครงานในบริษัท Toshiba EMI, Artec, และ Data East.[5]แต่ว่าเขาก็ได้ทำเสียงเกมในงานชิ้นโบว์แดงหรือว่างานเดี่ยวก็เห็นจะเป็น Bubble Ghost ในช่วงปี 1990[1]

ในช่วงปี 1993-1997 นั้นเขาก็ได้ทำเสียงเกมที่ได้รับความนิยมอีกหลายเกม Ogre Battle: March of the Black Queen, Shin Megami Tensei, Alien vs. Predator, Tactics Ogre, และ Dragon Quest VI เป็นต้น[5] ซึ่งช่วงเวลาในปี 1997 เขาได้ย้ายมาอยู่สแควร์อย่างเป็นทางการโดยทำเกมไฟนอลแฟนตาซีแท็กติก ซึ่งเป็นผลงานที่ทำให้เขาได้เป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการในวงการเกม (การได้ออกไปทัวร์นอกประเทศ)[3][7]แม้ว่าเขาจะงานเต็มเอียดในช่วงไม่กี่ปีในช่วงนั้น แต่ว่าเขาก็ได้รับความสำเร็จจากเกม Vagrant Story อยู่ดี[5] งานสุดท้ายที่ทำให้สแควร์คือเบรทออฟไฟล์ห้า และ Tactics Ogre: The Knight of Lodis สำหรับแคปคอมและ Quest หลังจากนั้นเขาจึงลาออกจากพนักงานบริษัทมาทำเป็นบริษัท Basiscape ในวันที่ 4 ตุลาคม 2002 อย่างเป็นทางการ

เบสิสเคพ

Basiscape เป็นบริษัทที่รับทำเสียงประกอบทุกชนิดโดยเฉพาะเกม ซากิโมโตะได้ลาออกจากสแควร์อีนิกซ์ เพราะว่าต้องการอิสระกว่าเดิม โดยที่เขาจะสามารถคัดเลือกงานที่จะทำได้เพื่อจะได้ไม่งานเต็มมือเหมือนแต่ก่อน[8]ตอนก่อตั้งบริษัทมีสมาชิกสามคนคือ ซากิโมโตะ, อิวาตะ และ มานาบุ นามิกิ เมื่อก่อตั้งบริษัทแยกออกมาแล้วบริษัทก็รับทำเสียงสำหรับวิดีโอเกมหลาย ๆ ค่ายเกม แต่หลัก ๆ แล้วจะเป็น สแควร์อีนิกซ์ เมื่อปี 2005 ก็มีการรับสมัครนักประพันธ์เพลงเพิ่มคือ มิตสึฮิโระ คาเนดะ และ คิมิฮิโระ อาเบะ, หลังจากเขาได้รับความสำเร็จในเกมส์ไฟนอลแฟนตาซี XIIเขาก็ได้ขยายบริษัทเพิ่มขึ้นไปอีกโดยเกณฑ์นักประพันธ์เพลงมาทำงานเพิ่มได้แก่ โนริยูกิ คามิกูระ, โยชิมิ คูโด และ อาซูซะ ชิบะ[9][10] ซึ่งทำให้กลายมาเป็นบริษัททำเพลงประกอบเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ หลังจากนั้นก็ยังทำงานอีกชิ้นคือ Odin Sphere และ ไฟนอลแฟนตาซี XII ภาคเสริม[3] บริษัทนี้จะแบ่งการบริหารงานคือการประพันธุ์เพลงหลักจะยกให้ซีอีโอ และแบ่งงานการเรียบเรียงเสียงประสานให้บุคลากรอื่นทำ รวมถึงมีบทเพลงบางชิ้นจะแบ่งให้คนในบริษัททำแยกออกไปด้วยตามความถนัด โดยการรับงานจะเป็นการรับงานในรูปแบบบริษัท บุคลากรที่เป็นนักประพันธ์เพลงทั้งหมดจะเป็นทั้งฟรีแลนซ์และเป็นพนักงานบริษัทแบบเต็มเวลาได้พร้อมกัน[11] ตัวธุรกิจ Basiscape เพิ่งถูกจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเมื่อปี 2009[12]

ซากิโมโตะเคยกล่าวถึงผลงานที่ไม่แสวงหากำไร[1] เขามีส่วนทำให้อัลบัมเสียงเกม Ten Plants (1998) และ 2197 (1999) เป็นหัวข้อในการกล่าวถึงเสียงเกม[13][14] ซึ่งในงานของเบสิสเคพนั้นเขาได้ทำงานกับนักร้องเลียในการออกอัลบัมเพลงป๊อปของเลียมาสองอัลบัม และงานด้านอื่นก็ทำอนิเมะเรื่องโรมิโอ × จูเลียตในปี 2007 และ The Tower of Druaga: The Aegis of Uruk ในปี 2008 และ ทำการ์ตูนแผ่นเรื่อง Legend of Phoenix ~Layla Hamilton Monogatari~ in 2005[3]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ฮิโตชิ ซากิโมโตะ http://palgn.com.au/5761/hitoshi-sakimoto-intervie... http://www.1up.com/do/feature?cId=3163748 http://sakimoto.cocoebiz.com/discography/index.sht... http://sakimoto.cocoebiz.com/index.shtml http://eminenceonline.com/site/eminence-portfolio.... http://music.ign.com/articles/741/741502p1.html http://music.ign.com/articles/741/741508p1.html http://ps2.ign.com/articles/765/765358p1.html http://wii.ign.com/articles/785/785905p1.html http://www.originalsoundversion.com/?p=2506